Monday, September 29, 2014

"น้ำมันทอดซ้ำ" ป้องกันไว้ ห่างไกลจากมะเร็ง !!!

             
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


            จากการแถลงนโยบายของภาครัฐ การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข สุขภาพประชาชน ให้เน้นเรื่องการป้องกันโรคมากกว่าการรอให้ป่วยแล้วมาตามรักษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะมีโรคจำนวนไม่น้อยที่มีหลายสาเหตุและอีกหลายโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ แท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น หลายโรคที่มีสาเหตุจากปัจจัยภายนอกด้วย เช่น มลพิษในสภาพแวดล้อมรอบตัว การป้องกันโรคเหล่านี้ยิ่งยากหนักเข้าไปอีก โดยเฉพาะโรคมะเร็งอย่างที่รู้ๆ กัน

          นอกจากนั้นนโยบายด้านสุขภาพของรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง สาธารณสุขใหม่ทั้ง 2 ท่านทั้ง 10 ด้านในข้อที่ 3 สร้างเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชากรไทยตลอดช่วงชีวิต โดยเฉพาะเรื่องโภชนาการและอาหารปลอดภัย มีการให้ความสำคัญกับเรื่องน้ำมันทอดซ้ำซึ่งเป็นต้นตอของหลายปัญหาสุขภาพ ตั้งแต่โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันสะสมในตับและที่สำคัญคือโรคมะเร็ง

          เหตุเพราะในน้ำมันทอดซ้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำมันจากพืชหรือน้ำมันจากสัตว์ก็ตาม มีสารที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพมากมายหลายชนิด ที่สำคัญเป็นสารก่อมะเร็ง ตัวหลักๆ ที่เป็นผู้ร้ายหัวหน้าแก๊งคือ สารโพลาร์และสารกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนหรือสารพีเอเอช ซึ่งเกิดขึ้นหลังการทอดอาหาร ยิ่งใช้น้ำมันเก่าทอดซ้ำบ่อยเท่าไหร่ สารพวกนี้ยิ่งเกิดมากขึ้น

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

             จากการศึกษาพบว่า การใช้น้ำมันทอดซ้ำทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง มะเร็งตับ มะเร็งปอด และก่อให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวในหนูทดลอง ที่น่าสนใจก็คือไม่เพียงแต่อันตรายที่เกิดจากการบริโภคด้วยการกินเท่านั้น การหายใจเอาไอน้ำมันหรือควันจากการใช้น้ำมันทอดซ้ำก็ทำให้เกิดมะเร็งได้เช่น กัน จากงานวิจัยในประเทศจีนพบว่า ผู้หญิงจีนที่ไม่สูบบุหรี่จำนวนมากป่วยเป็นมะเร็งปอด ซึ่งเมื่อดูจากประวัติแล้ว ส่วนใหญ่สูดควันจากการทำอาหารด้วยน้ำมันเก่าที่มีควันมากผิดปกติ เรียกได้ว่าความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งนั้นเทียบเท่าการสูบบุหรี่หรือดื่ม เหล้าเลย ทีเดียว

             จากการสำรวจประเทศไทยเรามีร้านขายของทอด ประเภททอดกันให้เห็นๆ หน้าร้าน มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 200,000 ร้านทั่วประเทศ นี่ยังไม่นับรวมร้านประเภททอดหลังร้านหรือทอดมาจากที่อื่นอีกจำนวนมาก เพราะฉะนั้นโอกาสที่ผู้บริโภคตาดำๆ จะได้รับสารก่อมะเร็งจะมากมายขนาดไหน ก็ต้องขอฝากไปยังพ่อค้าแม่ค้าว่า อย่าเอาน้ำมันใช้แล้วมาทำอาหารซ้ำเลยครับ เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทั้งคนทอดและคนกินมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกันทั้งนั้น ที่สำคัญก่อนจะซื้อของทอด ก็สังเกตสีน้ำมันในกระทะกันสักหน่อย ถ้ามีสีน้ำตาลคล้ำก็ผ่านไปซื้อร้านอื่นเลยดีกว่าครับ ปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่า

ขอขอบคุณบทความจาก สสส.

Tuesday, July 29, 2014

ดื่มนมอย่างเดียวใช่ว่าจะสูง...มาดูวิธีเพิ่มแคลเซียมให้กระดูก เพื่อร่างกายที่แข็งแรง

             แคลเซียม เป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก ถ้าพูดถึงอาหารที่มีแคลเซียมเยอะๆ ทุกคนคงคิดถึง “นม” แต่ผลการสำรวจพบว่าผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ 84% ตระหนักถึงประโยชน์ของนม แต่มีไม่ถึง 50% ที่ดื่มนมและบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเป็นประจำทุกวัน และโดยมากจะดื่มนมเพียงวันละ 1 แก้ว

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
               แค่ 1 แก้วหลายหลายคนอาจจะมองว่ามากพอแล้ว แต่ความ เป็นจริงแล้ว ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการคือ 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งนมส่วนใหญ่ใน 1 แก้วมักมีแคลเซียมเพียง 200-250 มิลลิกรัม หรือเพียง 25% เท่านั้น ดังนั้น เราจะมาแนะนำ 5 เคล็ดลับเพื่อเพิ่มแคลเซียมให้ร่างกาย

1. เลือกดื่มนมและทานอาหารที่มีแคลเซียม เนื่องจากแคลเซียมในนมเราดูดซึมได้ง่ายที่สุด หรือทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ผลิตภัณฑ์จากนมอื่น ๆ เช่น โยเกิร์ต ชีส หรือนมเปรี้ยว รวมถึงเต้าหู้ก้อน ผักใบเขียว ถั่วงา

2. วิตามินดีและแมกนีเซียม วิตามิน ดีมีอยู่ในนม ปลาแซลมอน เห็ด ไข่แดง น้ำมันพืช และแสงแดดอ่อนๆในช่วงเช้าหรือเย็น ในขณะที่แมกนีเซียมทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการสังเคราะห์และควบคุมการขนส่ง แคลเซียม

3. การออกกำลังกายที่ใช้การแบกรับน้ำหนักตัว หรือการออกกำลังกายที่มีการต้านแรงดึงดูดของโลก เพื่อ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดูกและยังชะลอการเกิดภาวะกระดูกพรุนได้ รวมถึงการเล่นกีฬา เช่น แบดมินตัน บาส อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง แต่สำหรับผู้สูงอายุควรออกกำลังกายแบบเบา เช่น การเดิน เต้นแอโรบิก

4. หลีกเลี่ยงผักที่ยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่ามีอะไรบ้าง ผักชนิดนี้ได้แก่ ผักโขม มันเทศ รำข้าวสาลี พืชมีเมล็ด และโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง ซึ่งอาจแก้ไขได้ด้วยการบริโภคผักที่มี แคลเซียมปานกลางถึงสูง แต่มีออกซาเลตต่ำ อาทิ คะน้า กวางตุ้ง ขี้เหล็ก ตำลึง บัวบก และถั่วพู เป็นต้น

5. ควรหลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เพราะแอลกอฮอล์คือวายร้ายที่คอยขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมในระบบทางเดินอาหาร อีกทั้งสิ่งพวกนี้ยังไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

 ที่มา : kapook.com

Wednesday, June 11, 2014

10 สัญญาณจากร่างกายเตือนว่าคุณกำลังอ่อนแอ...!

            รู้ ได้อย่างไรว่าร่างกายของเรา กำลังขาดสารอาหารชนิดใดอยู่?  10 สัญญาณเตือนต่อไปนี้ จะชี้ให้ทราบว่าร่างกายของเรากำลังขาดสารอาหารชนิดใด

 
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

สัญญาณที่ 1
มองไม่เห็นในที่แสงน้อย ตาแห้ง
สารอาหารที่ขาด: เบต้าแคโรทีน ช่วยในการมองเห็นและช่วยระบบภูมิ คุ้มกัน
แหล่งอาหาร: ผลไม้สีเหลืองและส้ม นม ผักใบเขียว

สัญญาณที่ 2
อ่อนเพลีย เครียด เหน็บชา เบื่ออาหาร
สารอาหารที่ขาด: วิตามินบี ช่วยสร้างโปรตีน สร้างเม็ดเลือดแดง ต้าน อาหารเหน็บชา  บำรุงประสาท
แหล่งอาหาร: ข้ามซ้อมมือ นม ไข่ ถั่ว ปลา เนื้อสัตว์

สัญญาณที่ 3
เลือดออกตามไรฟัน เป็นหวัดง่าย เหงือกอักเสบ
สารอาหารที่ขาด: วิตามินซี ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมสร้างภูมิต้านทาน
แหล่งอาหาร: ผลไม้รสเปรี้ยว ผักใบเขียว

สัญญาณที่ 4
พบภาวะกระดูกพรุน การหดตัวของกล้ามเนื้อและหัวใจผิดปกติ
สารอาหารที่ขาด: แคลเซียม ช่วยรักษากระดูกและฟัน ช่วยการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อและหัวใจ
แหล่งอาหาร: เนื้อสัตว์ ไข่แดง หอยนางรม ถั่ว ผักใบเขียว นม ปลาตัวเล็ก
สัญญาณที่ 5
โลหิตจาง แผลหายช้า เส้นเลือดดำขอด
สารอาหารที่ขาด: วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิว ประสาทและกล้ามเนื้อ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
แหล่งอาหาร: เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว ถั่ว ธัญพืช เมล็ดพืช น้ำมันพืช

สัญญาณที่ 6
ซีด เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หัวใจเต้นถี่ ติดเชื้อง่าย
สารอาหารที่ขาด: ธาตุเหล็ก เป็นส่วนสำคัญของฮีโมโกลบิน ส่วนประกอบของเอ็นไซม์และสารภูมิคุ้มกันในเซลล์
แหล่งอาหาร: ตับ ม้าม เนื้อสัตว์ ไข่แดง หอยนางรม ถั่ว ผักใบเขียว

สัญญาณที่ 7
แผลหายช้า รับรู้กลิ่นรสได้ไม่ดี เป็นโรคผิวหนังบ่อย
สารอาหารที่ขาด: แร่ธาตุสังกะสี ช่วยในการเติบโตของเซลล์ ระบบภูมิคุ้มกัน การรับกลิ่น
แหล่งอาหาร: เนื้อสัตว์ อาหารทะเล เนยแข็ง ถั่วเปลือกแข็ง จมูกข้าวสาลี

สัญญาณที่ 8
กล้ามเนื้อเกร็ง กระวนกระวาย สับสน
สารอาหารที่ขาด: แร่ธาตุแมกนีเซียม เสริมการสร้างกระดูกและฟัน สร้างพลังงาน ควบคุมการทำงานของหัวใจและคลายกล้ามเนื้อ
แหล่งอาหาร: ธัญพืช ถั่วเปลือกแข็ง ผักใบเขียวเข้ม หอย

สัญญาณที่ 9
 เป็นโรคกระดูกอ่อนและฟันผุ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ท้องผูก
สารอาหารที่ขาด: วิตามินดี ช่วยดูดซึมแร่ธาตุ โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส
แหล่งอาหาร: ตับ นม ไข่แดง เนย

สัญญาณที่ 10
ผิวหนังแตก สะเก็ดรอบจมูก ผมร่วง ผมเปราะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้
สารอาหารที่ขาด: ไบโอติน (วิตามินเอช) ช่วยเผาผลาญอาหาร ผลิตกรดไขมันเพื่อสุขภาพผิวและเส้นผม
แหล่งอาหาร: ถั่วเหลือง ตับ ธัญพืชไม่ขัดสี ดอกกะหล่ำ สัตว์ปีก

          หากท่านมีอาการบางอย่างตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรหันมาใส่ใจดูแลตัวเองมากขึ้น และรับประทานอาหารให้ตรงกับสารอาหารกลุ่มที่กำลังขาด รวมทั้งพยายามรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พร้อมออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

ที่มา : Scimath

Tuesday, April 22, 2014

ไวรัส “เมิร์สคอฟ” เชื้อโรค ไม่มียารักษา

            แม้ว่าไวรัสเมิร์สคอฟสายพันธุ์ใหม่จะยังไม่มาถึงประเทศไทย แต่ควรรู้และป้องกันไว้ก่อนเพราะเป็นเชื้อใหม่ล่าสุดที่ยังไม่มียารักษา

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต


ทำไมชื่อ เมิร์สคอฟ
มาจากชื่อเต็มภาษาอังกฤษว่า Middle East respiratory syndrome coronavirus (MERS-CoV) หรือเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ตะวันออกกลาง
ต้นกำเนิดของไวรัสเมิร์สคอฟ
ไวรัส ชนิดนี้ต้นกำเนิดจากประเทศซาอุดิอาระเบียและยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามี ต้นกำเนิดจากคนหรือสัตว์หรือเชื้อใด แต่มีผลวิจัยระบุว่าอาจมีแพะเป็นพาหะนำเชื้อ และเป็นเชื้อไวรัสใกล้เคียงไวรัสในค้างคาวสายพันธุ์หนึ่ง ทั้งนี้วัสเมอร์สเป็นเชื้อไวรัสเดียวกับโรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome-SARS) ที่แพร่ระบาดอย่างหนักในเอเชียเมื่อปี พ.ศ. 2546
ความร้ายแรงของไวรัส
ผู้ ที่ติดเชื้อไวรัสเมอร์สจะมีอาการคล้ายเป็นโรคระบบทางเดินหายใจมีไข้สูงไอ หายใจหอบ หายใจขัด ถ่ายเหลว หากเป็นหนักจะเสียชีวิตทันทีภายใน 3 -4 สัปดาห์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเพศชาย โดยเชื้อจะอยู่ในละอองน้ำมูกน้ำลายผู้ป่วย ติดต่อได้ง่ายจากการไอจาม โดยผู้ป่วยเกือบทั้งหมดร้อยละ 96 มีโรคประจำตัว 1 โรคหรือมากกว่า ได้แก่เบาหวาน รองลงมาคือความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไต

การป้องกันเบื้องต้น
1. กินร้อน- ช้อนกลาง- ล้างมือ
2. ใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปากเมื่อจาม
3. หลีกเลี่ยงไปสถานที่ที่ผู้คนแออัด
4. สวมหน้ากากอนามัยหากต้องไปสถานที่ที่ผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงพิธีฮัจญ์และอุมเราะห์
5. หมั่นออกกำลังกายและรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

ประเทศที่ยังพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง
หลัง จากเริ่มมีรายงานผู้ป่วยตั้งแต่วันที่20กันยายน 2556 เป็นต้นมายังพบผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องใน 11 ประเทศ ได้แก่ จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ อังกฤษ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฝรั่งเศส ตูนีเซีย เยอรมนี อิตาลี โอมาน และคูเวต ล่าสุดพบผู้ที่เสียชีวิตหลังจากติดเชื้อไวรัสเมิร์สคอฟที่ประเทศฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย โดยองค์การอนามัยโลกรายงาน ณ วันที่ 16 เมษายน 2557 พบผู้ป่วยยืนยัน 238 ราย เสียชีวิต 92 ราย
หากสงสัยว่าตนเองมีอาการดังกล่าวให้รีบพบแพทย์ทันที ไม่ต้องรอถึง 2 วัน หากมีข้อสงสัย  

      สามารถสอบถามเพิ่มเติม โทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง

ที่มา : scimath

Saturday, March 29, 2014

โรคแพนิค คืออะไร จะน่ากลัวอย่างที่คิดหรือไม่...?

           ช่วงนี้ดูข่าวเครื่องบินตก จะนำเหตุการณ์ เครื่องบินที่เคยเกิดอุบัติมาเล่าอีกครั้ง ยิ่งอ่านยิ่งซึมซับอาจจะส่งผลกระทบกับ หลายคนๆที่มีความกลัวการเดินทางโดยเครื่องบินอยู่แล้ว วิตกและตื่นตระหนกมาก และถ้าคุณกำลังเป็นจะมีวิธีการรับมืออย่างไร

 
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


โรคแพนิค ไม่ ใช่โรคร้ายแรง เป็นความผิดปกติในกลุ่มของโรควิตกกังวล ซึ่งสามารถแสดงออกได้หลายอย่าง และอาการนั้นมีความรุนแรงจนรบกวนกับชีวิตประจำวันในด้านต่าง ๆ ผู้ป่วยโรคแพนิคจะมีอาการตกใจกลัวอย่างรุนแรง (panic attacks) ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้

          อาการ ตกใจกลัวตื่นตระหนก วิตกกังวลอย่างรุนแรงหรือที่เรียกว่าอาการแพนิค ที่เกิดขึ้นหลาย ๆ ครั้งมักเกิดขึ้นโดยไม่เลือกเวลาและสถานที่ จึงยากที่จะคาดการณ์ และจะมีอาการเกิดขึ้นเป็นพัก ๆ ประมาณ 3-10นาที แต่ไม่นานเกิน30 นาที ทำให้ผู้ป่วยกลัวที่จะเกิดอาการซ้ำอีก จึงพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น หือกิจกรมนั้นๆ จึงส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันทั้งในด้านการงาน การประกอบอาชีพ ลดลง และความสัมพันธ์กับบุคคลใกล้ชิด ตึงเครียดมากขึ้น
คุณเคยมีช่วงเวลาไหนไหมที่ มีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่ไม่จำเป็นต้องมีทุกอาการหรือไหม?
1.ใจสั่น หายใจติดขัด หายใจไม่อิ่ม แน่นหน้าอก รู้สึกมีก้อนจุกที่คอ อ่อนเพลีย
2.ตัวร้อนวูบวาบ หรือตัวสั่น เหงื่อแตก ปั่นป่วนในท้อง มีความรู้สึกภายในแปลกๆ
3.รู้สึกชาหรือ ตามปลายเท้า รู้สึกมึนงง จะ เป็นลม คล้ายเหมือนอยู่ในความฝัน
4.รู้สึกชา หรือซ่า ตามปลายเท้า ควบคุมตนเองไม่ได้เหมือนจะเป็นบ้า
5.ความกลัวอย่างท่วมท้น ร่วมกับความรู้สึก กลัวว่าจะตาย
ถ้ามีโรคแพนิคจะดูแลตนเองอย่างไร
1.การฝึกควบคุมการหายใจเพื่อการผ่อนคลาย การฝึกสมาธิ
2.การฝึกจินตนาการเพื่อการผ่อนคลาย โดยอาจใช้ฟังเพลง
3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การผึกโยคะ ไทเก็ก
4.จัดการกับความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม เช่น อ่านธรรมะ ทำบุญ
5.เวลาเป็นแพนิค อย่าเพิ่งตกใจ อย่าคิดต่อเนื่องไปว่าจะป่วยหนักหรือจะหัวใจวายได้


ขอขอบคุณบทความจาก สสส.

Thursday, March 27, 2014

ใครที่หลงอยู่ในโลก Social Network เรามีวิธีบำบัดด้วย `ดิจิตอล ดีท็อกซ์` (Digital Detox)

              ยุคสมัยนี้ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะเห็น ผู้คนต่างก้มหน้าก้มตาจดจ้องอยู่กับโทรศัพท์ แทบจะทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นการยืน เดิน หรือนั่ง ดูเหมือนว่าโทรศัพท์จะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิต จนทำให้เราสนใจสิ่งรอบข้างน้อยลง ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก้มหน้า แล้วหันมาใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ห่างไกลเทคโนโลยีบ้างด้วย 9 วิธีบำบัดอาการติดโซเชียลแนวใหม่ต่อไปนี้

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

1. ทำให้เหมือนแบบทดสอบ
          ปกติเราเช็กโทรศัพท์แทบจะทุ ๆ 15 นาที ยิ่งถ้ามีเสียงติ๊งร้องเตือนก็จะหยิบขึ้นมาดูโดยทันที ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่พอห่างจากโทรศัพท์เพียงแค่ชั่วระยะเวลาเดียว ความรู้สึกกระวนกระวายก็เริ่มเข้ามาก่อกวน แต่ในเมื่อตั้งใจจะลดอาการติดโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นแล้ว เราก็ควรต้องใส่ความมุ่งมั่นให้เต็มเปี่ยม
ง่าย ๆ ก็แค่คิดว่า ตอนนี้เรากำลังเล่นเกม หรือแบบทดสอบอยู่ โดยมีกติกา คือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องไม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แต่ถ้าจะเผลอเช็กทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรืออินสตาแกรมบ้าง ก็พอหยวน ๆ กันได้ เพียงแต่อย่าทำบ่อย ๆ ก็พอค่ะ
2. แค่เวลาสั้น ๆ อดทนให้ได้
          ทุกวันนี้เราอยู่กับสังคมก้มหน้ามาจนชิน และเกือบลืมสนใจคนรอบข้างกันแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไรเลยว่าไหมคะ กับการที่เราเทความสำคัญให้เพื่อนในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่น ๆ มากกว่าคนในครอบครัว และเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ เรา ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้เงยหน้าจากจอโทรศัพท์แล้ว ก็อดทนให้ได้ตลอดรอดฝั่ง และอย่าลืมว่า การทำ ดิจิตอล ดีท็อกซ์ (Digital Detox) ใช้เวลาแค่ 24 ชั่วโมงเองนะ เวลาสั้น ๆ แค่นี้ โลกโซเชียลเน็ตเวิร์กของเราคงไม่สั่นคลอนหรอกเนอะ
3. จิ้มให้น้อย มิตรภาพแน่นแฟ้นขึ้น
          ถ้าคุณใส่ใจที่จะพูดคุยกับคนรอบข้างให้มากขึ้น สบตาเขาให้บ่อยกว่าเดิม แทนที่จะก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์เพลินทั้งวัน คุณจะรู้เลยว่า การสื่อสารกันแบบตัวต่อตัวดีกว่าสื่อสารผ่านตัวอักษรตั้งเยอะ แถมยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นได้ง่ายกว่ามาก ๆ เลยด้วย
4. ใส่ใจประสบการณ์ดีกว่า
         หลายคนคิดว่า รูปภาพในอินสตาแกรมช่วยเปิดโลกกว้างให้คุณได้เห็นอะไรหลายต่อหลายอย่าง และโซเชียลเน็ตเวิร์กก็ช่วยเปิดโลกกว้างให้คุณได้มากมาย โดยที่ลืมนึกไปว่า เพียงแค่เราเงยหน้ามองสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา สำรวจสิ่งแวดล้อมทุกตารางนิ้วด้วยสองตาของเราเอง มันให้ประสบการร์ชีวิตที่เจ๋งกว่ารูปที่ดูผ่านหน้าจอเป็นไหน ๆ
5. ฝึกสมาธิกับการใช้ชีวิตอย่างเชื่องช้า
          ไม่ปฏิเสธว่าโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีความฉับไวสูงมาก เราสามารถรับรู้ข่าวสารผ่านจอสี่เหลี่ยมได้แบบเร็วทันใจ แต่ภายใต้ความคล่องตัวนั้นเราต้องยอมแลกกับความเร่งรีบในชีวิต จนบางทีก็แอบรู้สึกเหนื่อยเหมือนกันใช่ไหมล่ะ
ถ้า อย่างนั้นอาจจะดีแล้วที่เราปิดการรับรู้ข่าวสารผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก แล้วหันมารับข่าวสารด้วยวิธีเดิมๆ อย่าง การอ่านหนังสือพิมพ์ หรือดูข่าวจากทีวีแทน เพราะคนที่เคยทำดิจิตอล ดีท็อกซ์ (Digital Detox) มาแล้วก็ได้ให้ข้อมูลว่า การใช้ชีวิตแบบเชื่องช้า ย้อนกลับไปรับข่าวสารด้วยวิธีที่เคยเป็นมา ช่วยให้เขามีสมาธิ และจิตใจนิ่งขึ้นมากเลยทีเดียว
6. เต็มที่กับความสนุกสนานที่แท้จริง
          โลกในโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่มีอะไรมากไปกว่าการแชร์ข้อมูล หรือรูปภาพสวย ๆ มาอวดกัน ความสุขของเราก็เลยถูกจำกัดขอบเขตเอาไว้กับรูปในจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั้นด้วย ทั้งที่จริง ๆ แล้วรอบกายของเรามีสิ่งที่เห็น และจับต้องได้จริง ๆ ให้สัมผัส และซึมซับความสุขเอาไว้กับตัวได้มากกว่าเยอะเลย
7. โฟกัสสิ่งที่ต้องการให้ชัดเจน
        ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเคยกล่าวเอาไว้ว่า อาการติดโซเชียลก็คล้าย ๆ กับอาการอยากอาหาร ที่แม้ว่าเราจะกินอาหารจานหลักจนอิ่มแล้ว แต่ปากก็ยังอยากกินของหวาน หรือผลไม้ล้างปากต่ออีกนิด และถ้าตามใจปากมาก ๆ คงไม่แคล้วกลายเป็นคนอ้วนโดยไม่ได้ตั้งใจ โซเชียลเน็ตเวิร์กก็เช่นกัน ถ้าเราเสพข่าวสารจากแหล่งอื่นมาเรียบร้อยแล้ว หรือพบปะเพื่อนฝูงจนพอใจ ก็ไม่จำเป็นต้องเช็กสังคมออนไลน์ให้เมื่อยมือหรอกเนอะ
8. มีเวลาในชีวิตอีกเพียบ
         เคยสังเกตไหมคะว่า ตั้งแต่มีเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฟนเข้ามา เราห่างหายจากงานอดิเรกอย่างการอ่านนิยาย ปลูกต้นไม้ เข้าครัวลองทำเมนูใหม่ ๆ กับคนรักไปเลย แต่ถ้าคุณลองชัตดาวน์สมาร์ทโฟนสัก 24 ชั่วโมง คุณจะมีเวลาว่างไปทำกิจกรรมที่เคยโปรดปรานเหล่านี้อีกเพียบเลยล่ะ
9. คืนชีวิตที่เปี่ยมสุข
           ก่อนหน้าที่เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขนาดนี้ เชื่อว่าหลายคนใช้ชีวิตในอัตราที่เรียบเรื่อย ชิลๆ กว่าตอนนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะไม่ต้องคอยกังวลว่าใครจะไลน์มาหา หรือทวีตมาแซว มีธุระอะไรก็นัดเจอ หรือโทรคุยกันแป๊ปเดียวก็รู้เรื่อง ดังนั้นหากคุณลองตัดโซเชียลเน็ตเวิร์กออกจากชีวิต แล้วกลับมาใช้ชีวิตเหมือนตอนก่อนมีสมาร์ทโฟนเข้ามา คุณจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ แถมร่างกายก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกมากเลยทีเดียว

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
        ลองห่างจากเทคโนโลยีสักพัก เพื่อคุณภาพชีวิต และสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นสักหน่อยก็ไม่เลวนะคะ อย่างน้อยๆ ก็ถนอมสายตาของคุณไปได้มากแล้ว แถมยังมีเวลาได้ขยับร่างกาย และทำกิจกรรมอื่น ๆ ในชีวิตที่ไม่เคยได้ลองทำอีกสารพัดเลยด้วย

ขอขอบคุณบทความจาก สสส.

Wednesday, March 26, 2014

5 วิธีเลือก น้ำดื่ม น้ำแข็ง และไอศกรีมสำหรับฤดูร้อน

           การดำเนินชีวิตประจำวันในทุกวันนี้ เราต้องเรียนรู้เพื่อให้เป็นผู้บริโภค ฉลาดที่จะเลือกซื้อ เลือกใช้ เลือกผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณค่าและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เราขอนำเคล็ดลับ 5 ดู น้ำดื่ม น้ำแข็ง และไอศกรีมฤดูร้อนให้ปลอดภัย
 
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

1. ดูฉลาก น้ำแข็งหลอดควรสังเกตรายละเอียดบนฉลาก ดูเครื่องหมาย อย. พร้อมเลขสารบบอาหาร 13 หลัก วันเดือนปีผลิต หรือวันหมดอายุ ชื่อผลิตภัณฑ์ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต และข้อความว่า "น้ำแข็งใช้รับประทานได้" ด้วยตัวอักษรสีน้ำเงิน
2. ดูลักษณะอาหาร ต้องสะอาด ไม่มีสี กลิ่น รส ผิดปกติ และไม่เหลว หรือมีลักษณะเหมือนเคยละลายมาแล้ว
3. ดูภาชนะบรรจุ ควร เลือก เครื่องดื่ม บรรจุในภาชนะที่สะอาดและปิดสนิท ไม่รั่วซึม หรือมีรอยสกปรก และไม่มีร่องรอยการเปิดใช้ น้ำที่บรรจุอยู่ในภาชนะต้องใสสะอาด ไม่มีตะกอน ไม่มีสี กลิ่น หรือรสที่ผิดปกติ
4. ดูการเก็บอุปกรณ์ สำหรับ น้ำแข็งหลอดตักขายตามร้านค้าที่ไม่มีฉลาก จึงควรสังเกตสถานที่เก็บน้ำแข็งว่า อยู่ในที่สะอาดเหมาะสมหรือไม่ รวมทั้งภาชนะที่ใส่น้ำแข็งต้องถูกสุขลักษณะไม่ปนเปื้อนกับอาหาร
5. ดูผู้ขาย ทั้ง ผู้บริโภคต้องดูสุขลักษณะ ของผู้ขายด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเล็บมือ การ แต่งกาย ภาชนะที่ใส่ไอศกรีมก็ต้องสะอาดด้วย


ขอขอบคุณบทความจาก สสส.

Tuesday, March 25, 2014

9 โรคร้ายตัวใหม่ที่เกิดจากการสูบบุหรี่

          นายแพทย์ใหญ่มะกันฟันธง 9 โรคใหม่เกิดจากการสูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น ทั้งมะเร็ง มะเร็งลำไส้ วัณโรค เบาหวาน จอตาเสื่อม ฯลฯ ด้าน “หมอประกิต” ชี้ข้อสังเกตมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้เป็นโรคที่ชายไทยป่วยมาก คาดเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ในอดีตที่สูงถึง 60% 

 
 ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

       ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า นายแพทย์ใหญ่กระทรวงสาธารณสุขสหรัฐอเมริกา ประกาศว่าการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของมะเร็งปอดและโรคเรื้อรังอื่นๆ เป็นครั้งแรก เมื่อปี 2507 และหลังจากนั้นก็มีรายงานถึงโรคต่างๆ ที่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเกิดจากการสูบบุหรี่มาเป็นระยะๆ โดยปีนี้ในโอกาสครบรอบ 50 ปี ได้มีรายงานของนายแพทย์ใหญ่สหรัฐอเมริกา พ.ศ.2557 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุดรับรอง 9 โรคใหม่ว่าเกิดจากการสูบบุหรี่หรือการได้รับควันบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบเป็น สาเหตุ ได้แก่  

  1. มะเร็งตับ 
  2. มะเร็งลำไส้ 
  3. วัณโรค 
  4. เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเบาหวานในผู้ใหญ่ 30-40% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 
  5. จอตาเสื่อมโดยจะสัมพันธ์กับอายุที่เพิ่มขึ้น 
  6. เพดานปากแหว่งตั้งแต่เกิดในมารดาที่สูบบุหรี่ 
  7. การตั้งครรภ์นอกมดลูก
  8. โรคข้อรูมาตอยด์และภาวะภูมิต้านทานร่างกายลดลง 
  9. โรคเส้นเลือดสมองตีบหรือแตกจากการได้รับควันบุหรี่มือสอง   

       “โดยรวมแล้วการสูบบุหรี่ทำให้เป็นมะเร็งถึง 12 อวัยวะ และโรคอื่นๆ อีก 17 โรค ในขณะที่การได้รับควันบุหรี่ในคนที่ไม่สูบบุหรี่ทำให้เกิดโรคได้สิบโรค ทั้งนี้ รายงานของนายแพทย์ใหญ่สหรัฐอเมริกามีความสำคัญโดยการเป็นที่ยอมรับของทั่ว โลกในการยืนยันถึงโรคแต่ละชนิดที่เกิดจากการสูบบุหรี่ หรือการได้รับควันบุหรี่ในคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่” นพ.ประกิต กล่าว    
  
       นพ.ประกิต กล่าวอีกว่า รายงานฉบับปัจจุบันมีความสำคัญมาก ต่อประเทศไทยที่ว่ามะเร็งตับ และมะเร็งลำไส้ เป็นมะเร็งลำดับที่หนึ่ง และที่สามในชายไทย ในขณะที่วัณโรค และเบาหวานเป็นโรคที่คนไทยเป็นกันมากขึ้น สภาพการณ์ของโรคที่เป็นอยู่ เป็นผลมาจากการใช้ยาสูบที่มีอัตราสูงมากของชายไทยในอดีตที่สูงถึง 60% เมื่อยี่สิบปีก่อน และแม้ปัจจุบันอัตราก็ยังสูงที่ 40% งานควบคุมยาสูบของประเทศไทยจึงยังต้องการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ภายใต้การนำของรัฐบาลและทุกภาคส่วนอย่างจริงจังต่อไป
แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

เมื่อถึงหน้าร้อน กินอะไรถึงจาหายร้อน

           เข้าเดือนเมษา หน้าสงกรานต์ทีไร ใครๆ ก็ต้องบ่นว่าร้อนเสียเหลือเกิน ถึงแม้ว่าเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมายังได้ใส่เสื้อกันหนาวกันอยู่ แต่พอความหนาวเย็นหายไป ความร้อนก็เข้ามาแทนที่ทันที
 
            และ เมื่อถึงหน้าร้อนแบบนี้ เราก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการกินให้เข้ากับฤดูกาลด้วยเช่นกัน วันนี้มีวิธีกินที่จะทำให้คลายความร้อนในร่างกายลงไปได้บ้าง ซึ่งจะมีวิธีไหนบ้างนั้น ก็ลองไปดูกันดีกว่า
  • ลดการกินอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ไขมัน และแป้ง 
      เนื่องจากอาหารประเภทนี้ต้องใช้พลังงานในการย่อยค่อนข้างสูง ทำให้ระบบทางเดินอาหารทำงานหนัก ซึ่งจะเกิดความร้อนขึ้นภายในร่างกาย นอกจากนั้นก็ยังเป็นอาหารกลุ่มที่ให้พลังงานมาก ซึ่งถ้ากินมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับพลังงานเกินความจำเป็น ดังนั้น ควรเปลี่ยนไปกินอาหารพวกผักและผลไม้มากขึ้น
  • ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้น 
        ในฤดูร้อนจะทำให้เราเสียเหงื่อได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจะต้องดื่มน้ำเข้าไปชดเชยเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ โดยเฉพาะคนที่จะต้องอยู่กลางอากาศร้อนจัด แดดแรง หรือต้องออกกำลังกายกลางแจ้ง ควรดื่มน้ำให้ได้ 4-6 แก้วต่อชั่วโมง ส่วนน้ำที่ใช้ดื่มนั้นควรเป็นน้ำสะอาดที่อุณหภูมิห้อง ควรหลีกเลี่ยงน้ำหวาน เพราะจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำเพิ่มมากขึ้น และไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัด เพราะจะทำให้ป่วยได้ง่าย เนื่องจากร่างกายปรับอุณภูมิไม่ทัน และควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เส้นเลือดขยายตัวมากขึ้น ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย อีกทั้งในอากาศร้อน แอลกอฮอล์จะซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วกว่าปกติ ทำให้เมาได้ง่าย และอาจช็อกหมดสติได้
  • กินอาหารที่สด สะอาด และปรุงสุก 
      เนื่องจากในหน้าร้อนเชื้อโรคจะเจริญเติบโตได้ดี ทำให้อาหารเน่าเสียได้ง่าย ซึ่งเมื่อกินเข้าไปอาจเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้ จะเห็นได้จากที่กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศเตือนให้ระวังอันตรายจากโรคในหน้า ร้อน เช่น โรคอุจจาระร่วง โรคอาหารเป็นพิษ โรคบิด เป็นต้น ซึ่งสามารถป้องกันได้จากการดูแลความสะอาดของอาหาร และน้ำดื่ม รวมถึงรักษาสุขลักษณะส่วนบุคคล
  • กินอาหารรสขมเย็น 
    อาหารที่มีสรรพคุณทางยาในรสขมเย็น จะช่วยขับร้อน แก้กระหาย ถอนพิษไข้ แก้ร้อนใน ซึ่งอาหารในประเภทนี้ก็มีหลายชนิด เช่น มะระ ฟักเขียว ปวยเล้ง ผักกาดขาว แตงกวา ผักบุ้ง แตงโม สาลี่ เป็นต้น


ขอขอบคุณบทความจาก สสส.

Monday, March 24, 2014

"ดื่มน้ำมากๆ" ช่วยลดน้ำหนักได้ จริงหรือ...?

             หลายคนเชื่อว่าการดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ จะช่วยลดน้ำหนักตัวได้ แต่ทุกคนคงต้องคิดใหม่อีกครั้ง




          ดร.คิ๊ตเชิ่น นักโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยอลาบามา ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า การ ดื่มน้ำช่วยลดน้ำหนักได้เป็นเพียงความเชื่อที่ถูกพูดต่อ ๆ กันมาเท่านั้น เพราะมีหลักฐานน้อยมากที่ยืนยันว่าการดื่มน้ำช่วยลดน้ำหนักได้ แม้ว่าการดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดี แต่หากดื่มมากเกินกว่าการเผาผลาญแคลอรี่ของร่างกายไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ กระบวนการสลายไขมันกลายเป็นเพียงการต่อเชื่อมระหว่างของไขมันเท่านั้น

         ดร.คิ๊ดเชิ่น ยังแย้งคำกล่าวที่ว่าควรดื่มน้ำ 8 แก้ว/วัน เพื่อช่วยเผาผลาญแคลอรี่โดยระบุว่า แม้ร่างกายจะต้องการของเหลว แต่ไม่มีหลักฐานว่าน้ำจะเข้าไปละลายไขมันขับมันออกจากร่างกาย หรือช่วยทำให้ร่างกายสมบูรณ์ ซึ่งของเหลวที่ดีต่อสุขภาพประกอบด้วย น้ำเปล่า น้ำจากธัญพืช และกาแฟที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นภัยต่อสุขภาพ แต่ความจริงแล้วกาแฟจะช่วยให้ร่างกายเก็บสะสมของเหลวได้ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยปรับสมดุลของร่างกายและลดการสูญเสีย น้ำ

         ทั้งนี้ ดร.คิ๊ดเชิ่น ยังกล่าวว่า การดื่มน้ำเย็นจะช่วยเร่งการเผาผลาญได้มากขึ้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่มีผลกระทบมากพอที่จะช่วยให้น้ำหนักตัวลดได้ พร้อมยืนยันว่าทางเดียวที่จะทำให้ปริมาณแคลอรี่ร่างกายน้อยลงได้คือควบคุม อาหาร ซึ่งแนะนำให้ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเน้นทานผลไม้ ผัก และซุป อย่างไรก็ตาม แม้น้ำจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อน้ำหนักตัวของคนเรา แต่น้ำถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการปรับสมดุลในร่างกายอย่างมาก

ที่มา : สสส.

Friday, March 21, 2014

5 เคล็ดลับช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม

              แคลเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก ซึ่งมีอยู่มากที่สุดใน "นม" ขณะเดียวกันคนส่วนใหญ่กลับดื่มนมน้อยลง เพราะเชื่อว่าการดื่มนมทำให้อ้วนและสะสมไขมันส่วนเกิน ผลสำรวจโดยแอนลีนพ บว่า ผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ 84% ตระหนักถึงประโยชน์ของนม แต่มีไม่ถึง 50% ที่ดื่มนมและบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเป็นประจำ ทุกวัน โดยทั่วไปจะดื่มนมเพียงวันละ 1 แก้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการคือ 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งนมส่วนใหญ่ใน 1 แก้วมักมีแคลเซียมเพียง 200-250 มิลลิกรัม หรือเพียง 25% เท่านั้น รศ.พญ.วิไล คุปต์นิรัติศัยกุล หัวหน้าภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และกรรมการมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย จึงได้แนะนำ 5 เคล็ดลับที่ช่วยเติมพลังแคลเซียมให้กับร่างกายแบบเต็มร้อย

http://guru.sanook.com/gallery/gallery/7324/271151/


1. เลือกดื่มนมและอาหารที่มีแคลเซียมในปริมาณที่เหมาะสม
     แคลเซียมในนมและผลิตภัณฑ์นมนั้นถูกดูดซึมได้ง่ายที่สุด ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาเล็กปลาน้อย ผลิตภัณฑ์จากนมอื่นๆเช่น โยเกิร์ต ชีส หรือนมเปรี้ยว รวมถึงเต้าหู้ก้อน ผักใบเขียว ถั่วงา

2. วิตามินดีและแมกนีเซียม
    
วิตามินดีมีอยู่ในนม ปลาแซลมอน เห็ด ไข่แดง น้ำมันพืช และแสงแดด โดยเราควรรับแสงแดดอ่อนๆ ช่วงเช้าและเย็น ประมาณ 10-15 นาทีต่อวัน จะทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งช่วยในการดูดซึมแคลเซียล ในขณะที่แมกนีเซียมทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการสังเคราะห์และควบคุมการขนส่ง แคลเซียม

3. ออกกำลังกายที่ใช้การแบกรับน้ำหนักตัวหรือที่มีการต้านแรงดึงดูดของโลก
    จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กระดูกได้ออกแรงทำงานและชะลอการเกิดภาวะกระดูก พรุนได้ รวมถึงการเล่นกีฬาประเภทต่างๆ เช่น แบดมินตัน เทนนิส บาสเกตบอลวอลเลย์บอล อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง  สำหรับผู้สูงอายุควรออกกำลังกายแบบแบกรับน้ำหนักตัวที่มีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเดิน เต้นแอโรบิก ตีกอล์ฟ โยคะ ไทชิ และควรฝึกการทรงตัว เพื่อช่วยให้ลดความเสี่ยงจากการหกล้มและกระดูกหัก

4. หลีกเลี่ยงผักที่ยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม 
เช่น ผักโขม มันเทศ รำข้าวสาลี พืชมีเมล็ด และโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง ซึ่งอาจแก้ไขได้ด้วยการบริโภคผักที่มีแคลเซียมปานกลางถึงสูง แต่มีออกซาเลตต่ำ อาทิ คะน้า กวางตุ้ง ขี้เหล็ก ตำลึง บัวบก และถั่วพู เป็นต้น

5. ควรหลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่ ชา กาแฟ น้ำอัดลม
เพราะแอลกอฮอล์คือ วายร้ายที่คอยขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมในระบบทางเดินอาหาร

ที่มา : womanplusmagazine

"น้ำขวดพลาสติก" ภัยเงียบที่มากับหน้าร้อน

           ช่วงเดือนเมษายนเป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย อากาศที่ค่อนข้างร้อนทำให้คนเราเสียเหงื่อมาก จึงต้องการน้ำมากกว่าปกติ น้ำดื่มส่วนใหญ่ที่เราใช้ดื่มกันก็มากจากน้ำขวดพลาสติกที่หาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป บางทีก็ได้น้ำจากตู้น้ำหยอดเหรียญทั่วไป ซึ่งการนำขวดพลาสติกมาใช้ซ้ำเสี่ยงอันตรายจากการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียมาก หากจำเป็นต้องใช้ควรมีการทำความสะอาดที่ถูกวิธี และหมั่นสังเกตลักษณะของขวด หากมีรอยชำรุด รั่ว แตกร้าว บุบ ไม่ควรนำมาใช้ อย่างไรก็ตาม เราควรดื่มน้ำที่สะอาดเท่านั้น เพื่อไม่ก่อให้เกิดโรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อตามมา 

 


  คนส่วนใหญ่ชอบที่จะนำนำขวดพลาสติกเปล่าที่ผ่านการใช้งานแล้วมาใส่น้ำไว้สำหรับดื่มหรือใช้ในครัวเรือน ซึ่งในบางครั้งไม่ได้ผ่านการทำความสะอาดที่ถูกวิธี โดยเฉพาะบริเวณ ปากขวดและฝาขวดที่เกิดจากการใช้ที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้ขวดน้ำกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่มัก พบมากในน้ำบรรจุขวดพลาสติกที่มีการเติมน้ำซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง ซึ่งผลจากการเก็บน้ำดื่มบรรจุขวดโดยกรมอนามัย ปี 2555 เพื่อตรวจสอบ จำนวน 131 ตัวอย่าง พบมีการปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรีย จำนวน 85 ตัวอย่าง คิดเป็น ร้อยละ 65 ประชาชนจึงควรให้ความสำคัญโดยเฉพาะสารเคมีที่เป็นอันตรายจากพลาสติก เพราะการขัดถูเพื่อล้างทำความสะอาดขวดน้ำ อาจทำให้เกิดรอยขูดขีดหรือการบุบชำรุดของขวดที่เกิดจากการนำมาใช้ซ้ำ หรือหากขวดน้ำตั้งอยู่ในบริเวณที่มีความร้อนหรือได้รับแสงแดดอาจทำให้สาร เคมีจากขวดพลาสติกปนเปื้อนลงในน้ำที่อยู่ในขวดได้ แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องนำขวดพลาสติกเก่ามาใช้ก็ควรทำความสะอาดให้ทั่วถึงและ ต้องสังเกตลักษณะของขวด หากมีรอยชำรุด รั่ว แตกร้าว บุบ ก็ไม่ควรนำมาใช้ หรือหากเป็นขวดที่มีการปนเปื้อนดินก็ควรหลีกเลี่ยงในการนำมาใช้ซ้ำเช่นกัน

           ดร.นพ.พร เทพ ได้กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือความสะอาดปลอดภัยของน้ำดื่ม โดยเฉพาะในพื้นที่ทุรกันดารที่ขาดแคลนน้ำสะอาด ก่อนนำมาดื่มควรต้มให้เดือดอย่างน้อย 5 นาที เก็บในภาชนะที่สะอาด มีฝาปิดมิดชิด ส่วนการนำน้ำจากแม้น้ำ ลำคลอง หรือแหล่งน้ำผิวดินแหล่งอื่น ๆ มาใช้โดยตรง ควรปรับปรุงคุณภาพน้ำและ ฆ่าเชื้อโรคก่อน ด้วยการแกว่งสารส้มชนิดก้อนในน้ำและให้สังเกตตะกอนในน้ำ หากเริ่มจับตัวให้นำสารส้มออกตั้งทิ้งไว้ จนตกตะกอน แล้วนำเฉพาะน้ำใสมาฆ่าเชื้อโรคโดยใช้หยดทิพย์ อ.32 ของกรมอนามัย ซึ่งเป็นสารละลายคลอรีนชนิดเข้มข้น 2 เปอร์เซ็นต์ ในอัตราส่วน 1 หยดต่อน้ำ 1 ลิตร หรือเติมผงปูนคลอรีนตามปริมาณที่กำหนด จากนั้นปล่อยให้มีระยะเวลาฆ่าเชื้อโรคอย่างน้อย 30 นาที ก่อนนำไปใช้ ซึ่งจะช่วยป้องกันเชื้อโรคที่ปนเปื้อนในน้ำ และไม่ก่อให้เกิดโรคที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อตามมาได้

        "สำหรับการเลือกซื้อน้ำแข็งเพื่อดับร้อนนั้น ให้สังเกตลักษณะของน้ำแข็งจะต้องใส สะอาด บรรจุในซองพลาสติกหรือถุงพลาสติกที่ปิดผนึกเรียบร้อย มีเครื่องหมาย อย. รับรองอย่างถูกต้อง ซึ่งร้านอาหารหรือแผงลอยต้องเก็บน้ำแข็งในภาชนะที่สะอาด มีฝาปิด ไม่เป็นสนิม และตั้งสูงจากพื้นอย่างน้อย 60 เซนติเมตร ห้ามนำอาหารหรือเครื่องดื่มมาแช่ในน้ำแข็งที่ใช้บริโภค เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคและสิ่งสกปรก” 

 

Monday, March 17, 2014

ผัดเผ็ดปลาดุก (Spicy-Fried Catfishes)

ผัดเผ็ดปลาดุก (Spicy-Fried Catfishes)



          วันนี้ขอเสนอเมนูปลาดุกอีกสักเมนูนะครับ เมนูปลาดุกที่น่ารับประทานอีกเมนูหนึ่งที่จะขอแนะนำกันในวันนี้ นั้นก็คือ "ผัดเผ็ดปลาดุก" ครับ ด้วยส่วนผสมและเครื่องเทศแบบน้ำพริกแกงปักษ์ใต้ที่เผ็ดถึงใจ ต้องขอบอกก่อนเลยว่าอร่อยและเผ็ดถึงใจจริงๆ จะเอาเผ็ดน้อยเผ็ดมาก ก็ลดพริกลงได้ตามชอบเลยนะครับ 

ส่วนผสมน้ำพริกแกงเผ็ด (สูตรภาคใต้)  (Ingredients of Red Curry Paste)
  • พริกขี้หนูแห้ง                         20 กรัม หรือประมาณ 5-6 เม็ด (20 dried guinea-peppers)
  • พริกขี้หนูสด                           50 กรัม หรือประมาณ 5-6 เม็ด (50 guinea-peppers)
  • พริกไทยเม็ด                          20 เม็ด (20 peppercorn)
  • หอมแดง หั่นหยาบๆ                 3 หัว (3 onions)
  • กระเทียม หั่นหยาบๆ                10 กลีบ (10 garlics)
  • ตะไคร้ หั่นบางๆ                      1 ต้น (1 lemongrass)
  • ข่าอ่อน หั่นบางๆ                     5 แว่น (5 galangals)
  • ขมิ้นสด หั่นหยาบๆ                  1 แง่ง (1 turmeric)
  • กะปิ                                     2 ช้อนชา (2 teaspoon of shrimp paste)
วิธีทำน้ำพริกแกงเผ็ด (How to cook red curry paste)

  1. นำพริกขี้หนูแห้งไปแช่น้ำให้พอนิ่ม
    Soak dried guinea-peppers util it's soft.
  2. นำส่วนผสมทุกอย่างโขลกรวมกันให้ละเอียด
    Crush all ingredients of red curry paste.
  3. ตักใส่ถ้วย พักไว้
    scoop red curry paste up to the bowl.
ส่วนผสมผัดเผ็ดปลาดุก (Ingredients of Spicy-Fried Catfishes)
  •  ปลาดุก                        500 กรัม หรือประมาณ 2 ตัว (2 Catfishes)
  • ใบมะกรูด                      5 ใบ  (5 of kaffir lime leaves)
  • ใบยี่หร่า                       1 กำมือ (1 hand of cumin leaves)
  • พริกชี้ฟ้า เขียว แดง        2-4 เม็ด (2-4 of goat peppers)
  • น้ำมันพืช                      1/4 ถ้วยตวง (1/4 measuring cup of vegetable oil)
  • น้ำพริกแกงเผ็ด              60 กรัม หรือ 1/2 ถ้วยเล็ก (1/2 small cup of red curry paste )
  • น้ำปลา                         3 ช้อนโต๊ะ  (3 tablespoons of fish sauce)
  • น้ำตาลทราย                   2 ช้อนชา  (3 teaspoons of granulated sugar)
  • พริกไทยอ่อน หั่นสั่นๆ       5 ช่อ  (5 of green papers)
วิธีทำผัดเผ็ดปลาดุก
  1. ล้างปลาดุกให้สะอาด ควักใส่ออกให้หมด หั่นเป็ยชิ้นพอดีคำ
    Wash catfishes and put its intestine off and slice.

  2. ล้างใบยี่หร่าและใบมะกรูดแล้วฉีกก้านกลางของใบมะกรูดออก พร้อมกับฉีกเป็นชิ้นเท่าหัวแม่มือ
    Wash cumin leaves and kaffir lime leaves, put its leafstalk off and tear it.  

  3. เด็ดใบยี่หร่าเป็นใบๆ แล้วหั่นหยาบๆ
    Chop cumin leaves and kaffir lime leaves.

  4. นำกระทพตั้งไฟปานกลาง ใส่น้ำมันพืช ใส่พริกแกงลงไปผัดจนหอม ถ้าพริกแกงแห้งไปให้เติมน้ำลงไปเล็กน้อย
    Heat vegetable oil with medium heat. add red curry paste and fry. If the curry is dried you can add some water a little.

  5. ใส่ปลาดุกลงไปผัดจนสุก ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลตามใจชอบ
    Add catfishes and fry and season with fish sauce and granulated sugar.

  6. เมื่อได้รสชาติแล้ว ใส่ใบมะกรูด ใบยี่หร่า แล้วผัดให้เข้ากัน ตักใส่จาน โรยด้วยพริกไทยอ่อนและพริกชี้ฟ้า  
    Add kaffir lime leaves and cumin leaves and fry then scoop it up to the bowl and season with green papers and goat peppers.

ลาบหมู (Spicy Pork Salad)

  
ลาบหมู (Spicy Pork Salad)



    
      มาถึงอาหารไทยอีกชนิดหนึ่งที่ทุกๆท่านรู้จักกันดี นั้นคือ "ลาบหมู" นั้นเอง วิธีการทำก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละภาคของประเทศไทย อย่างภาคเหนือก็จะได้รสชาติอีกแบบหนึ่ง ส่วนในภาคอีสานก็มีรสชาติออกแนวเผ็ดๆ แซบๆ แห้งๆ หน่อย แต่วิธีการทำนั้นก็คล้ายๆกันครับ เนื่องจากผมเป็นคนภาคเหนือ ผมจะขออธิบายวิธีการทำแบบทางภาคเหนือก็แล้วกันนะครับ เรามาเตรียมอุปกรณ์กันเลย...

ส่วนผสมน้ำพริกลาบหมู (Ingredient of curry paste of Spicy Pork Salad)
  • พริกแห้ง                          5-7 เม็ด        (5-7 Dried chillies)
  • เกลือป่นหรือเกลือเม็ด         1 ช้อนโต๊ะ     (1 spoon granulated sauce)
  • หอมแดง                          5 หัว            (5 onions)
  • กระเทียม                          5-10 กลีบ     (5-10 petal garlics)
  • ข่าอ่อน                            1 หัว            (1 young galangal)
  • มะแขว่น                           1 ช้อนโต๊ะ     (1 spoon zanthoxylum limonella)
วิธีทำน้ำพริกลาบหมู (How to cook chili sauce of Spicy Pork Salad)
  1. โขลกหอมแดง กระเทียม ให้พอละเอียด แล้วใส่ข่าอ่อนกับมะแขว่นลงไป
    Pound onions and garlics together and mix with young galangal and zanthoxylum limonella.

  2. ใส่เกลือป่นกับพริกแห้งลงไป โขลกรวมกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วยพักไว้
    Season with salt, dried chilies then pound together and scoop up to the bowl.
*ส่วนผสมอาจจะเพิ่มปริมาณได้ถ้าต้องการทำลาบหมูเยอะๆ


ส่วนผสมในการทำลาบหมู (Ingredient of Spicy Pork Salad)

  • เนื้อหมูสับ                          350 - 500 กรัม    (350 - 500 gram minced pork)
  • ผักชี                                  10 ต้น              (10 parsleys)
  • ใบสาระแหน่                        5-10 ใบ            (5-10 lemom blam leaves)
  • น้ำปลา                              1 ช้อนโต๊ะ          (1 spoon fish sauce)
  • น้ำตาล                              2 ช้อนชา            (2 teaspoon sugar)
  • น้ำมันพืช                           1/4 ถ้วยตวง        (1/4 measuring cup vegetable oil)
  • น้ำเปล่า                             1/2 ถ้วยตวง        (1/4 measuring cup water)
วิธีทำลาบหมู (How to cook Spicy Pork Salad)

  1. นำเนื้อหมูสับมาคลุกกับน้ำพริกลาบในหม้อ ใส่น้ำตาลลงไป คนให้เข้ากัน
    Mix minced pork with currypaste . add sugar

  2. ใส่น้ำมันพืชลงไปในหม้อ ตั้งไฟปานกลาง คั่วลาบให้พอสุก
    Add vegetable oil and heat and fry.

  3. เติมน้ำเปล่าลงไปเพื่อให้ลาบไม่แห้งจนเกินไป คั่วจนสุก ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยผักชี ตกแต่งด้วยใบสาระแหน่ เพื่อให้ดูน่ารับประทาน เติมน้ำปลาและปรุงรสตามต้องการ พร้อมเสริฟ
    Add water and fry until ripe. Season with fish sauce and serve with parsleys and lemon blam leaves.
* รับประทานร่วมกับผักสดอื่นๆเช่น ถั่วฟักยาว, แตงกวา, กระพังโหม (ผักตดหมา) เป็นต้น

Sunday, March 16, 2014

แกงเขียวหวานไก่ (Green Curry with Chicken)

      แกงเขียวหวานถือเป็นอาหารไทยอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จะนำมารับประทานกับข้าวสวยก็ได้ หรือสามารถนำมารับประทานร่วมกับอาหารชนิดอื่นๆได้อย่างลงตัว เช่น ขนมจีนแกงเขียวหวาน เป็นต้น วันนี้ผมจะนำเสนอเมนูที่ชื่อว่า แกงเขียวหวานไก่ ซึ่งในบทความนี้จะบอกวิธีทำน้ำพริกแกงเขียวหวานเอาไว้ด้วย ไม่รอช้า เรามาดูวิธีการทำกันเลย



ส่วนผสมน้ำพริกแกงเขียวหวาน
 
  • ลูกผักชีคั่ว                            1 ช้อนโต๊ะ
  • ยี่หร่าคั่ว                               1 ช้อนชา
  • พริกไทยเม็ด                          5 เม็ด
  • พริกขี้หนูสีเขียวเม็ดใหญ่           15 เม็ด
  • เกลือป่น                               1 ช้อนชา
  • ข่าแก่หั่นละเอียด                     1 ช้อนชา
  • ตะไคร้ซอย                            1 ช้อนโต๊ะ
  • ผิวมะกรูดหั่นละเอียด                ½ ช้อนชา
  • รากผักชีหั่น                            1 ช้อนชา
  • กระเทียม                               9 กลีบ
  • หอมแดงซอย                         3 หัว
  • กะปิ                                     1 ช้อนชา

 วิธีทำน้ำพริกแกงเขียวหวาน
  1. โขลกลูกผักชี ยี่หร่าและพริกไทยเข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย พักไว้
  2. โขลกพริกขี้หนูสีเขียวกับเกลือเข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด และรากผักชี โขลกพอละเอียด ใส่กระเทียม หอมแดง โขลกให้ละเอียด ใส่เครื่องเทศที่โขลกและกะปิ โขลกให้เข้ากัน
  3. ตักใส่ถ้วยเตรียมไว้ทำน้ำแกงเขียวหวาน




ส่วนผสมแกงเขียวหวานไก่
  • น้ำพริกแกงเขียวหวาน                                1/4 ถ้วยตวง
  • เนื้อไก่                                                   350 กรัม
  • กะทิ                                                       1/4 ถ้วยตวง
  • ใบโหระพา                                               1/4 ถ้วยตวง
  • ใบมะกรูด                                                4 ใบ
  • น้ำซุปไก่                                                 1/2 ถ้วยตวง
  • น้ำตาลทราย                                            2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา                                                   3 ช้อนโต๊ะ
  • พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเฉียง                                 2 เม็ด 
  • มะเขือเปราะหั่นซีก                                    2 ลูก

 วิธีทำแกงเขียวหวานไก่
  1. หั่นเนื้อไก่ให้เป็นชิ้นพอดีคำ ตั้งกะทิ 1/2 ถ้วยตวง (กระทิส่วนที่เหลือไว้ค่อยใช้ในขั้นตอนต่อไป) บนกระทะจนร้อน (ใช้ไฟปานกลาง) คนจนกระทิเดือดประมาณ 3 - 5 นาที
  2. ใส่เครื่องแกงเขียวหวานลงไปผัดกับกระทิสักพักจนน้ำกระทิลดลง จึงเทส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อใหญ่
  3. นำหม้อใบใหญ่ตั้งไฟปานกลาง ใส่เนื้อไก่และคนประมาณ 2 นาที จากนั้นใส่น้ำปลา, น้ำตาล คนต่อไปอีก 1 นาที
  4. ใส่มะเขือเปราะที่หั่นไว้แล้ว ใส่น้ำกระทิที่เหลือและใส่น้ำซุปไก่ ต้มต่อไปสักพักจนเนื้อไก่เริ่มสุก และมะเขือเปราะนิ่ม
  5. ใส่ใบมะกรูดและใบโหระพา รอจนเดือด จากนั้นจึงปิดไฟ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสริฟ

ต้มยำกุ้ง ( Prawn and Lemon Grass Soup with Mushrooms )

       มาถึงอาหารไทยอีกเมนูหนึ่งที่แสนอร่อยและเป็นที่นิยมมากๆในหมู่ชาวต่างชาติอีกด้วย จนนำไปตั้งเป็ยชื่อของภาพยนต์ไทย ใช่แล้วครับ ต้มยำกุ้ง เป็นอาหารที่มีรสจัด ออกเปรี้ยวนิดๆ ซึ่งเป็นที่ถูกปากของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ เรามาดูวิธีการทำกันเลยนะครับ...



ส่วนผสมและเครื่องปรุง
(Ingredients)
  •  กุ้งขนาดกลาง                                12 ตัว           (12 meduim size shrimps)
  •  เห็ดฟาง                                        10 ดอก        (10 Sajor-caju mushrooms)
  •  ตะไคร้                                          1 กำ            (1 handful lemongrass)
  • ใบมะกรูด                                       3 ใบ              (3 kaffir lime leaves)
  •  เกลือ                                           1 ช้อนชา        (1 teaspoon salt)
  •  น้ำปลา                                         2 ช้อนโต๊ะ       (2 spoon fish sauce)
  •  น้ำมะนาว                                      3 ช้อนโต๊ะ       (3 spoon lemon juice)
  •  พริกขี้หนู                                       6 เม็ด            (6 guinea-pepper)
  •  น้ำสะอาด                                     4 ถ้วยตวง        (4 measuring bowl water)
  •  ผักชี                                            1/2 ถ้วยตวง     (1/2 measuring bowl coriander root)

วิธีทำ (How to cook)
  1.  ปอกเปลือกกุ้งออก ล้างให้สะอาด เหลือหางไว้ จากนั้นหั่นด้านหลังกุ้งเพื่อเอาเส้นเลือดสีดำออก เสร็จแล้วนำเห็ดฟางไปล้างให้สะอาด หั่นเป็น 4 ส่วนและนำไปผึ่งให้แห้ง
    Peel all shimps and wash then cut its back and take its vein away.
    Wash all Sajor-caju mushrooms then cut in four and dry it off.

  2. ทุบตะไคร้ให้แหลก หั่นเป็นชิ้นๆยาวประมาณ 2-3 ซม. หั่นผักชีหยาบๆใส่ถ้วยเตรียใไว้ นำน้ำสะอาดใส่หม้อ ตั้งไฟปานกลาง
    Pound lemomgrass and cut off a few cemtimeter. Cut coriander root curtly and put some water to the pot and boil by using medium heat.

  3. ใส่ตะไคร้, ใบมะกรูด และกุ้ง เมื่อสีกุ้งเริ่มสุก ใส่เห็ดที่หั่นไว้แล้วและเกลือ
    Add lemomgrass, kaffir lime leaves and shrimps to the pot and boil till ripe.
    Add Sajor-caju mushrooms and season with sait.

  4. หลังจากน้ำเดือดแล้วปิดไฟ และนำหม้อออกมาจากเตา ปรุงรสด้วยน้ำปลา, น้ำมะนาว และพริกขี้หนู เสร็จแล้วทำการตกแต่งเล็กน้อย ให้ดูน่ารับประทานแล้วยกเสริฟ
    Season with fish salt, lemon juice and guinea-pepper then serve.